พฤติการณ์และวันที่
|
วันที่ |
14 กุมภาพันธ์ 1876 ถึง 15 ธันวาคม 1876 รวมการประจักษ์ 15
ครั้ง |
|
สถานที่ |
เมืองเปลเลอร์ วัวแซง เป็นเมืองเล็ก ๆ มีประชากร 1,100 คน ห่างจากเมืองชาโตรู
20 กม. ในสังฆมณฑลบูร์ช |
|
ผู้แลเห็น |
แอสแตล ฟาแกต เกิด ค.ศ. 1843 เมื่อทรงประจักษ์ครั้งแรก เธอกำลังป่วยหนักสิ้นหวังแล้ว
เธอรับใช้อยู่ในบ้านคุณนาย เดอลา โรชฟูโกลด์ ซึ่งเป็นคฤหาสน์ใหญ่โตชื่อ ปัวเรียส์-มงต์เบล |
สาส์นของพระแม่ |
"ฉันเปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี และเป็นผู้ใช้พระบุตรของฉัน"
"ฉันมาช่วยคนบาปให้กลับใจ" "ขุมทรัพย์ของพระบุตรของฉันเปิดอยู่"
"ฉันมาบอกเรื่องสันติ มิใช่สำหรับเธอเท่านั้น แต่เพื่อพระศาสนจักรและประเทศฝรั่งเศสด้วย"
"ฉันเลือกเด็ก ๆ และผู้อ่อนแอ" |
แอสแตล ฟาแกต (Estelle Faguette) ทำงานเป็นคนใช้อยู่กับคุณนายเดอลา
โรชฟูโกลด์ เธอป่วยเป็นโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบเรื้อรัง และที่สุดกลายเป็นวัณโรค
ในค.ศ. 1875 แพทย์ที่เยี่ยวยารักษาชื่อ ฮูแบร์ต เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดและวัณโรค
แพทย์ตรวจพบว่านอกจากแอสแตลจะเป็นโรคที่เยี่อบุช่องท้องแล้ว ยังพบวัณโรคที่กระดูกแขนขวา
ทำให้แขนข้างนั้นเป็นอัมพาต ขณะที่แอสแตลตกอยู่ในสภาพใกล้จะตายนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างมหัศจรรย์จากแม่พระและแม่พระได้มอบภารกิจอย่างหนึ่งให้เธอทำด้วย
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าเรื่องราวอย่างย่อ ๆ ของแอสแตล.... (เธอเล่าเป็นภาษาแบบแม่ลูกสนทนากัน)
แล้วภายหลังยังได้บันทึกไว้ด้วย
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจากจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งแอสแตลเขียนถึงแม่พระเมื่อต้นเดือนกันยายน
ค.ศ. 1875 เวลานั้น เธอรู้สึกสิ้นหวัง รู้ตัวดีว่าจะต้องตายอยู่รอมร่อแล้ว เธอฝากจดหมายฉบับนั้นมอบให้
น.ส. ไรเตอร์ ไปส่งที่ถ้ำแม่พระลูร์ดจำลองเล็ก ๆ ซึ่งพวกเด็กทำขึ้นไว้ในสวนของคฤหาสน์ปัวเรียรส์
จดหมายฉบับนั้นมีข้อความดังนี้
"คุณแม่ผู้เปี่ยมด้วยความดีลูกมาอยู่แทบเท้าของคุณแม่
คุณแม่คงไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังคำลูก คุณแม่คงไม่ลืมว่า ลูกเป็นลูกที่รักคุณแม่
ขอคุณแม่โปรดขอพระบุตรของคุณแม่ บันดาลให้ลูกกลับมีสุขภาพดี ทั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติแด่คุณแม่ด้วยเถิด
ขอคุณแม่โปรดมองดูความเศร้าโศกของบิดามารดาของลูก ซึ่งหวังพึ่งลูกคนเดียวของท่าน
หากคุณแม่ไม่เมตตา ลูกก็มิอาจทำหน้าที่ดูแลช่วยเหลือท่านทั้งสองได้ต่อไป อย่างไรก็ดี
หากเพราะบาปของลูก คุณแม่จึงมิอาจช่วยลูกให้หายปรกติได้ ก็ขอเพียงโปรดให้ลูกมีเรี่ยวแรงพอจะทำมาหาเลี้ยงชีวิตตนเอง
และของบิดามารดาได้บ้างด้วยเถิด
"คุณแม่ที่รัก คุณแม่ทราบดีว่า ท่านทั้งสองชราแล้ว และยากไร้จนเกือบจะต้องขอทานเขา
ลูกคิดแล้วสุดที่จะเศร้าระทมใจ ขอคุณแม่ได้โปรดรำลึกถึงคืนแสนเศร้าที่บังเกิดพระบุตร
คุณแม่ต้องเที่ยวเคาะประตูบ้านนี้บ้านโน้น เพื่อขอที่อาศัยด้วยเถิด ขอคุณแม่โปรดรำลึกถึงความทุกข์ระทมเมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนด้วยเถิด
"คุณแม่ที่รัก ลูกวางใจในคุณแม่ ถ้าคุณแม่พอใจ พระบุตรของคุณแม่จะบันดาลให้ลูกหายโรคได้
พระองค์ทรงทราบว่า ลูกปรารถนาจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระองค์ และเพื่ออุทิศตนแก่ครอบครัวที่ต้องการลูก
หากทรงพอพระทัยก็จะโปรดให้ลูกหายปรกติ ทั้งนี้ขอให้น้ำพระทัยพระองค์จงสำเร็จมิใช่ตามน้ำใจลูก
ลูกขอถวายตัวทั้งครบเพื่อความรอดของลูก และของบิดามารดา คุณแม่เป็นเจ้าของดวงใจของลูก
โปรดเฝ้ารักษาดวงใจนั้นไว้เสมอ ขอให้ถือเป็นมัดจำแห่งความรักและความกตัญญูรู้คุณของลูกต่อความใจดีนิรันดรของคุณแม่ด้วยเถิด
"คุณแม่ที่รัก ลูกขอสัญญาว่า ถ้าลูกได้รับพระหรรษทานตามที่วอนขอ
ลูกจะอุทิศตนทั้งครบเพื่อพระสิริมงคลของคุณแม่และของพระบุตรเจ้า ขอคุณแม่โปรดคุ้มครองหลานสาวของลูกให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายด้วย
โอ้แม่พรหมจารีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ลูกถอดแบบความนอบน้อมเชื่อฟังของคุณแม่ และสักวันหนึ่งขอให้ลูกเสวยนิรันดรสุขร่วมกับพระบุตรและคุณแม่ด้วยเทอญ"
แม่พระจะทรงตอบจดหมายฉบับนี้.....
การประจักษ์ครั้งแรก
13 กุมภาพันธ์ 1876 |
เย็นวันอาทิตย์ที่ 13 ก.พ. 1876 แอสแตลได้ขอคุณพ่อ ซัลมอน เจ้าอาวาสวัดเปลเลอวัวแซง ให้จดหมายถึงคุณนายโรชฟูโกลด์
ให้ช่วยไปจุดเทียนแทนตัวเธอ เล่มหนึ่งที่แท่นแม่พระมหาชัย อีกเล่มหนึ่งที่แท่นแม่พระแห่งลูร์ด
พระแท่นทั้งสองอยู่ในวัดนักบุญอิกญาซิโอ ที่ถนนแซฟร์ กรุงปารีส... ตัวเธอเองกำลังนอนรอความตาย
คืนวันที่ 14 ต่อกับวันที่ 15 ก.พ. นั้นเอง แอสแตลแล
เห็นปีศาสตนหนึ่งทางด้านขวาของเตียง มันกำลังแยกเขี้ยว ยิ้มแสยะอย่างน่าเกลียดน่ากลัว...
บัดดลนั้น เธอเหลือบไปเห็น พระนางพรหมจารีย์มารีย์ที่ปลายเตียง แม่พระคลุมศรีษะด้วยผ้าขาวยาวลงมาถึงเท้า
สวมเสื้อยาวปิดคอถึงข้อมือ มีเชือกรัดสะเอวที่หน้าอกติด "เสื้อจำพวก"
แม่พระตรัสอย่างแข็งขันโดยไม่หันไปมองปีศาจว่า "เจ้ามาทำอะไรที่นี่?
เจ้าไม่เห็นหรือว่าเธอสวมเครื่องแบบของเรา และของพระบุตรของเรา"
ปีศาจไม่ตอบอะไร มันแสดงท่าทางตกใจกลัว เพราะรู้ว่า วิญญาณที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของแม่พระจะมีแต่ความสงบ ปีศาจมิอาจมาล่อลวงให้วุ่นวายได้
แอสแตลเป็น "ลูกของแม่พระ" ตั้งแต่อายุ 14 ณ วัดนักบุญโธมัส
อาควิโน ที่กรุงปารีส เธอได้รับศีลล้างบาป ศีลกำลัง ได้รับการเจิมด้วยเครื่องหมายกางเขน
ปีศาจอันตรธานไปในบัดดล โดยเขย่าเตียงอย่างแรง แอสแตลรู้สึกกลัว
แต่แม่พระตรัสว่า
"อย่ากลัว! ลูกก็รู้ ลูกเป็นลูกของแม่ มานะและอดทนเถอะ
พระบุตรของแม่จะช่วยลูก ลูกจะทรมานอีก 5 วัน เพื่อเป็นเกียรติแต่รอยแผลทั้งห้าของพระบุตรถึงวันเสาร์
ถ้าลูกไม่ตายก็จะหาย ถ้าพระบุตรโปรดให้ลูกหาย แม่ก็อยากให้ลูกประกาศเกียรติคุณของแม่"
ขณะที่แอสแตล กำลังคิดว่าจะประกาศเกียรติคุณแม่พระอย่างไรดี
แม่พระก็แสดงแผ่นป้ายหินอ่อนให้ดู
"คุณแม่คะ ลูกจะต้องเอาแผ่นนี้ไปวางไว้ที่ไหน? ที่วัด
แม่พระมหาชัยหรือที่เปลเลอ...?"
แอสแตลพูดยังไม่จบ แม่พระก็บอกว่า
"ที่วัดแม่พระมหาชัย (กรุงปารีส) มีเครื่องหมายแสดงฤทธิ์อำนาจของแม่มากแล้ว
แต่ที่เปลเลอวัวแซง ยังไม่มี ยังต้องการเครื่องกระตุ้นเตือนใจ มานะและอดทนเถิด
แม่อยากให้ลูกถือตามสัญญา แม่อยากให้ลูกประกาศเกียรติคุณของแม่"
คืนวันอังคารที่ 15 ต่อกับวันพุธที่ 16 ก.พ. ปีศาจย้อนมาอีก มันยืนอยู่ห่าง ๆ ฉับพลันนั้นแม่พระก็ปรากฏมา ปีศาจแผ่นหนี แอสแตลได้ยินถ้อยคำดังนี้
"อย่ากลัว! แม่อยู่นี่"
น้ำเสียงของพระแม่แสดงถึงดวงใจที่เมตตาปรานี
"พระบุตรของแม่รับฟังคำของลูกแล้ว พระองค์ประทานชีวิตแก่ลูก
วันเสาร์นี้ลูกจะหาย...แล้วลูกจะประกาศเกียรติคุณของแม่"
ฉับพลันนั้น แอสแตล กลับรู้สึกอยากตาย แม่พระจึงปลอบประสาแม่ว่า
ถ้าพระบุตรประทานชีวิต นี่ก็เป็นไปตามที่ลูกต้องการ สิ่งที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์นั้นจะมีอะไรประเสริฐกว่ามีชีวิตเล่า?
ลูกไม่ได้บอกหรอกหรือว่า ถ้ามีชีวิตต่อไปก็จะประกาศเกียรติคุณของแม่?"
ระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ 3 คืนวันที่ 16 ต่อวันที่ 17
ก.พ. แม่พระตรัสว่า "ลูกรัก มานะไว้ สิ่งเหล่านี้จะผ่านไป เพราะลูกยินยอมรับทน
เป็นการชดใช้ความผิดของลูก"
แล้วแม่พระบอกแอสแตลว่า "แม่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี
และเป็นผู้รับใช้ของพระบุตร...."
แล้วแม่พระเตือนแอสแตลให้ระลึกถึงจดหมายที่เธอเขียนเมื่อเดือนกันยายนว่า
"จดหมายและคำภาวนาด้วยใจร้อนรนของลูกประทับใจแม่มาก เป็นต้นประโยคที่ว่า ขอคุณแม่โปรดมองดูความเศร้าโศกของบิดามารดาของลูก...ถ้าขาดลูก ท่านทั้งสองจะต้องเป็นขอทาน...ขอคุณแม่รำลึกถึงความทุกข์ระทมเมื่อพระบุตรเยซูต้องถูกตรึงกางเขน แม่ได้แสดงจดหมายฉบับนี้แก่พระบุตรของแม่ บอกว่า บิดามารดาของลูกต้องการลูก
แต่นี้ไป ขอให้ลูกสัตย์ซื่อ อย่าทำให้พระหรรษทานที่ได้รับไร้ประโยชน์ และจงประกาศเกียรติคุณของแม่เถิด"
แม่พระยังประจักษ์มาอีกในคืนวันที่ 17 ต่อวันที่ 18 ก.พ....และในการประจักษ์ครั้งที่
5 คืนวันที่ 18 ต่อวันที่ 19 ก.พ. แอสแตลก็หายจากโรค
คืนวันที่ 18 ต่อ 19 ก.พ. นี้ แอสแตลเห็นแผ่นหินอ่อนนั้นอีก ครั้งนี้มีอักษรจารึกด้วยที่มุมแผ่นหินนั้นประดับด้วยดอกกุหลาบทองคำ
ตรงกลาง มีรูปดวงใจถูกแทงด้วยหอกมีเปลวไฟ คาดด้วยมงกุฏกุหลาบ มีตัวอักษรทองจารึกว่า
"ข้าพเจ้าวอนขอพระนางมารีย์สิ้นสุดกำลัง เพราะทุกข์ลำบาก พระนางได้ทูลขอพระบุตรช่วยให้ข้าพเจ้าหาย"
พระนางพรหมจารีตรัสแก่แอสแตลว่า "ถ้าลูกจะรับใช้เรา จงเป็นคนซื่อ ๆ ให้กิจการของลูกสอดคล้องกับคำพูดของลูกเถิด"
แม่พระยังตรัสต่อไปว่า "ลูกอยู่ที่ไหน ลูกก็สามารถทำดีได้มาก และลูกสามารถประกาศเกียรติคุณของแม่ได้"
ฉับพลันนั้น แม่พระมีอาการโศกเศร้า เสริมว่า "สิ่งที่ทำให้แม่ชอกช้ำใจมาก
คือการขาดความเคารพต่อพระบุตร ในศีลมหาสนิทและการสวดภาวนา ที่จิตใจวอกแวก แม่ขอพูดสำหรับคนที่แสร้งทำเป็นคนศรัทธา...
สำหรับลูก จงประกาศเกียรติคุณของแม่...แต่ก่อนจะพูดเรื่องนี้ ให้ลูกไปปรึกษาขอความเห็นกับสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปเสียก่อน...
ลูกอาจพบอุปสรรค แต่แม่จะช่วยลูก" แล้วพระนางพรหมจารีก็อันตรธานไป...แอสแตลรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย
ประมาณเช้าวันรุ่งขึ้น (19 ก.พ.) แอสแตลรู้สึกหายจากโรค มีแต่แขนขวายังกระดุกกระดิกมิได้
ประมาณ 6.30 น. คุณพ่อซัลมอนมาเยี่ยม เห็นแอสแตลนั่งอยู่บนเตียง เธอเล่าเรื่องการประจักษ์ให้คุณพ่อฟัง
"ดีละ พ่อจะไปถวายมิสซาและเชิญศีลมหาสนิทมาส่ง และเมื่อลูกรับศีลแล้ว ยกแขนขวาได้พ่อจะเชื่อ"
เมื่อคุณพ่อเจ้าวัดเสร็จพิธีมิสซา อัญเชิญศีลมาด้วย ให้แอสแตลรับศีลแล้ว ยกแขนขวาที่กระดุกกระดิกมิได้
ขึ้นทำสำคัญมหากางเขน...เป็นอันว่า เธอหายดีแล้ว
ต่อไปนี้เธอจะเริ่มทำภารกิจของพระแม่ ซึ่งจะแสดงให้เธอทราบตั้งแต่การประจักษ์ครั้งที่
9 ตรงกับบ่ายวันที่ 9 ก.ย. 1876
วันนั้นพอแอสแตลสวดลูกประคำเสร็จ แม่พระก็ประจักษ์มา มีรังสีรุ่งโรจน์ ที่หน้าอกมีผ้าชิ้นเล็กๆ
สีขาว แม่พระตรัสว่า
"ตั้งแต่นานแล้ว ขุมทรัพย์ของพระบุตรเปิดอยู่ จงวอนขอเถิด!"
แล้วแม่พระเลิกผ้าชิ้นเล็ก ๆ สีขาวซึ่งใส่ไว้ที่อกออก..แอสแตล เห็นดวงหทัยของพระเยซูเจ้า
เป็นสีแดงลุกเป็นไฟ และเหมือนกับหัวใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ตรงกลางเปลวไฟนั้นมีกางเขน
แอสแตลเข้าใจว่า สิ่งนี้คือรูปจำพวก และได้ยินแม่พระตรัสว่า "แม่ชอบความศรัทธานี้มาก...เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ได้รับเกียรติ"
วันศุกร์ ที่ 15 ก.ย. ฉลองแม่พระมหาทุกข์ 7 ประการ
แม่พระประจักษ์มามีเสื้อจำพวกดังกล่าวติดที่หน้าอก แม่พระมองออกไปรอบ
ๆ แล้วตรัสว่า "แม่รู้ถึงความพยายามที่ลูกทำเพื่อให้มีความสงบ มิใช่เพียงสำหรับลูกเท่านั้น
แต่ยังต้องการสำหรับพระศาสนจักร และประเทศฝรั่งเศสด้วย ในพระศาสนจักรยังไม่มีความสงบที่แม่ปรารถนา...และสำหรับประเทศฝรั่งเศส
แม่ก็เตือนมามากแล้ว แต่เขาก็ไม่ค่อยจะรับฟัง แม่ไม่อาจจะยับยั้งพระบุตรได้อีก"
สิ่งที่แม่พระบอกกับแอสแตลนี้ หมายถึงสงครามโลก ครั้งที่ 1
ค.ศ. 1914-1918
บ่ายวันที่ 5 พ.ย. แม่พระบอกกับแอสแตลว่า "แม่ได้เลือกลูก
แม่เลือกเด็ก ๆ และคนอ่อนแอ เพื่อประกาศเกียรติคุณของแม่...จงมานะเถิด เวลาและการพิสูจน์จะเริ่มขึ้นแล้ว"
วันเสารที่ 11 พ.ย. เมื่อเห็นรูปจำพวกในการประจักษ์แล้วแอสแตลได้ทำจำลองขึ้นอันหนึ่ง
แม่พระขอบใจ ตรัสว่า "อย่าเสียเวลาเลย วันนี้ลูกทำงานสำหรับแม่แล้ว ลูกยังต้องทำงานอื่นอีกมาก
8 ธันวาคม 1876 การประจักษ์ครั้งสุดท้าย |
เป็นการประจักษ์ครั้งสุดท้าย แม่พระให้คำแนะนำต่าง
ๆ แก่แอสแตล ซึ่งหายจากโรคเมื่ออายุ 33 และเธอจะทำงานให้พระแม่จนกระทั่งลาโลก
เมื่ออายุ 86
วันศุกร์ ที่ 8 ธันวาคม 1876 สมโภชพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธินิรมล
แม่พระประจักษ์มา แวดล้อมด้วยพวงมาลัยกุหลาบ แม่พระนำรูปจำพวกมาด้วย ตรัสว่า
"จงระลึกถึงคำแม่"....แอสแตลนึกถึงวาจาทั้งหมดที่แม่พระตรัส เป็นต้นที่ว่า
"ลูกรู้ดีว่า ลูกเป็นลูกของแม่...แม่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี
และเป็นผู้รับใช้พระบุตร...สิ่งที่ทำให้แม่ชอกช้ำใจมากคือ การขาดความเคารพต่อพระบุตรของแม่ในศีลมหาสนิท...แม่มาช่วยคนบาปให้กลับใจ..
ขุมทรัพย์ของพระบุตรเปิดอยู่..." และ "แม่ชอบความศรัทธานี้มาก"
พลางแสดงเสื้อจำพวก "เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ได้รับเกียรติ"
แม่พระยังเสริมว่า "แม่อยู่ข้าง ๆ ลูก แม้ลูกจะมองไม่เห็น"
ขอให้เรากลับมาอ่านเรื่องที่แอสแตลเล่าให้คุณพ่อฮูกองฟัง และคุณพ่อนำไปลงในหนังสือวารสารคณะแม่พระแห่งเปลเลอวัวแซง
ปี 1922
"นอกจากแม่พระแล้ว ฉันยังเห็นภาพ 2 ภาพ แสดงเหตุการญ์ในอนาคต ภาพหนึ่งเป็นภาพประชาชนในเครื่องแต่งกายต่าง ๆ กำลังแสดงอาการโกรธแค้น
อีกภาพหนึ่งเป็นกลุ่มชนอยู่ในสภาพเรียบร้อย แม่พระอธิบายถึงภาพแรกว่า
"ลูกไม่ต้องกลัวเขาเหล่านี้ แม่เลือกลูกให้ประกาศเกียรติคุณของแม่
และเผยแผ่ความศรัทธานี้"
ขณะนั้นแม่พระถือเสื้อจำพวกทั้งสองมือ ฉันได้กลิ่นกุหลาบโชยมา
ฉันอยากจะขอเสื้อจำพวกจากพระแม่...พระนางยิ้ม ตรัสว่า
"ลูกเห็นแล้วว่า แม่ให้ไม่ได้ แต่ลุกขึ้นมาจูบเสื้อนี้ซิ"
ฉันลุกขึ้นฉับไว...พระนางก้มตัวลง ถือเสื้อจำพวกให้ฉันจูบ...
แอสแตลยืนยันว่า "ริมฝีปากของฉันได้จูบดวงหทัยที่เป็นเลือดเนื้อจริง
ๆ รู้สึกยังอุ่นและเต้นอยู่.
แม่พระตรัสว่า "ลูกจงไปหาคุณพ่อเจ้าวัด บอกให้ท่านช่วยตามอำนาจที่ท่านมี
ลูกจงแสดงเสื้อจำพวกให้ท่านดู และบอกว่าไม่มีอะไรเป็นที่พอใจแก่แม่มากเท่ากับที่เห็นลูก
ๆ ของพระแม่ติดรูปจำพวกนี้ และพวกเขาต่างชดเชยความผิดที่พระบุตรได้รับในศีลมหาสนิท
เราจะโปรยปรายพระคุณต่าง ๆ แก่ผู้ที่ติดเสื้อจำพวกนี้ด้วยความไว้วางใจ และช่วยกันเผยแผ่ให้แพร่หลาย"
ขณะตรัสข้อความดังกล่าวนี้ แม่พระยื่นมือออก มีสายฝนโปรยปรายตกจากมือ
แต่ละหยาดฝน มีรายชื่อพระคุณต่าง ๆ คือ พระคุณปรีชาญาณ ความศรัทธา การกลับใจ
สุขภาพ ความไว้วางใจ พลังใจ ความรอด...
แม่พระทำให้ฉันเข้าใจว่าพระคุณเหล่านี้ พระนางนำมาจากดวงหทัยของพระเยซูเจ้า
เพื่อแจกจ่ายแก่มนุษย์ แม่พระเสริมว่า
"พระคุณเหล่านี้เป็นของพระบุตรของแม่ และพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธแม่เลย"
สงฆ์ผู้ฟังแก้บาปให้ฉันถามแม่พระว่า อีกด้านหนึ่งของเสื้อจำพวก
จะเขียนข้อความอะไร
แม่พระตอบว่า "แม่สงวนสิ่งนี้ไว้ ขอให้ลูกคิดเอง
แล้วทำให้พระศาสนจักรตัดสินให้"
หลังจากที่แอสแตลได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาเปาเลโอที่
13 แล้ว พระองค์ทรงยอมรับเสื้อจำพวกที่แม่พระบอกนี้...ส่วนสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์
ที่ 15 ตรัสว่า "เราเชื่อว่าเรื่องนี้มีกำเนิดที่ดี และพูดได้ว่าเปลเลอวัวแซง
เป็นสถานพิเศษที่แม่พระทรงเลือก เพื่อแจกจ่ายพระคุณต่าง ๆ " (เบเนดิกต์
ที่ 15 วันที่ 17 ต.ค. 1917)