"ถ้าเราตอบสนองคำขอเหล่านี้อย่างซื่อสัตย์มั่นคง
พระมารดาแห่งฟาติมาสัญญาว่าจะมีสันติภาพ รุสเซียจะกลับคืนสู่พระศาสนจักรคาทอลิกเสียใหม่
และเป็นการเริ่มศักราชใหม่แห่งการแพร่ธรรม และชัยชนะของพระศาสนจักรคาทอลิก (จดหมายเวียนถึงสัตบุรุษของพระคาร์ดินัล
ซุสเตอร์ แห่งมิลาน 1942)
สถานการณ์ของโลก เริ่มต้นศตวรรษแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
และเป็นหายนะของคริสตชน ซึ่งถูกอิทธิพลทางวัตถุนิยมไร้ศาสนาเข้าครอบงำ คุณพ่อโกลเบขณะนั้นศึกษาอยู่ที่กรุงโรม
เห็นการกระทำร้ายกาจของพวกอเทวนิยม ท่านจึงได้ตั้ง "คณะอาสาสมัครของแม่พระนิรมล"
ขึ้นเมื่อ 17 ตุลาคม 1917 เพื่อรณรงค์ให้ศัตรูของพระศาสนจักรกลับใจ
ตั้งแต่การประจักษ์ที่เปลเลอวัวแซงในปี
1876 แล้ว...ก็ไม่มีการประจักษ์อีก พระนางพรหมจารีมารีอาทรงนิ่งเฉย ดูเหมือนว่าทรงทอดทิ้งชาวเราไปตามยถากรรม
เหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ ผ่านไป
ภายใต้การนำของกลุ่มสังคมนิยมนานาชาติในต้นศตวรรษที่
19 นี้ กรรมกรจำนวนมหาศาล มีความเชื่อมั่นในพลังของตน ต่อหน้าโลกซึ่งแปรสภาพเป็นโลกแห่งวัตถุนิยมยิ่งที่ยิ่งมากขึ้น
การอบรมแบบคริสตชนถูกคว่ำลงอย่างสิ้นเชิง
คุณลักษณะดีเลิศเช่น ความสุภาพถ่อมตน ความยากจน ความบริสุทธิ์และความศรัทธา ที่ได้ปลูกฝังลงในดวงใจของคริสตชนมาตลอด
20 ศตวรรษ บัดนี้มิได้เหลืออยู่เพื่อรับใช้พระศาสนจักรอีกต่อไป พระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงสถาปนาขึ้นไว้เพื่อความรอดของโลก
แต่กลับนำเอาไปใช้เพื่อการ "ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม" บนพื้นฐานแห่งความรุนแรงและการปฏิเสธเสรีภาพของมนุษย์
มโนธรรมที่ผิดดังกล่าวของมวลชนที่ละทิ้งพระเป็นเจ้านี้
จะบดขยี้และทำลายมโนธรรมอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ทั้งมโนธรรมของมนุษย์ ของพ่อ ของแม่
ของลูก และของประชาชนทั้งมวล ปัจจุบันนี้เราได้เห็นผลซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์ แสดงออกมาในโลกได้แล้ว
นั่นคือสงครามในรูปแบบต่าง ๆ การปฏิวัติ การลดจำนวนประชากร ค่ายกักกันเพื่อ "ล้างสมอง"
คลีนิกโรคจิต ซึ่งมีคนไข้เป็นล้าน ๆ
ปี 1917 ปี พลิกประวัติศาสตร์ ...พระนางพรหมจารีเสด็จมาที่ฟาติมา พระนางมาประกาศการยุติสงคราม และตรัสถึงการปฏิวัติของรุสเซียและสิ่งชั่วร้ายต่าง
ๆ ในโลกด้วย เป็นพระนางที่จะมีชัยในการต่อสู้ จะชนะความชั่วช้าและกอบกู้มนุษยชาติ
เพื่อจะเข้าใจถึงเรื่องฟาติมาที่พูดถึงฉากความเศร้าสลดและการต่อสู้นั้น
ก็ควรจะรู้เรื่องราวของคุณพ่อโกลเบ สักหน่อย..(ปัจจุบัน คุณพ่อได้รับการบันทึกนามในสารบัญนักบุญแล้ว)
ในปี 1917 นั่นเอง คุณพ่อมาศึกษาเทวศาสตร์ที่โรม
ท่านไป ๆ มา ๆ อยู่แถวลานพระมหาวิหารนักบุญเปโตร ใต้พระแกลที่ปิดสนิทของพระราชวังวาติกัน
คุณพ่อแลเห็นธงสีดำมีรูปอัครเทวดามีคาแอลอยู่ใต้เท้าของลูชีแฟร์ มีคำเขียนว่า
"ซาตานจะครองวาติกัน สันตะปาปาจะเป็นทาสของมัน" พวกอเทวนิยมชักธงนี้ในโอกาสฉลองรำลึกถึงศตวรรษที่
2 แห่งยุคปฏิวัติสังคมนิยม
ในสถานการณ์เช่นนี้แหละ ที่พระนางพรหมจารีทรงดลใจคุณพ่อโกลเบให้เกิดความคิดที่จะตั้ง "คณะอาสาสมัครของแม่พระนิรมล" ขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคม
1917 จุดประสงค์เพื่อการกลับใจของศัตรูแห่งพระศาสนจักร
ไม่นานก่อนที่คุณพ่อจะถึงแก่มรณภาพ คุณพ่อได้เผยเคล็ดลับถึงเรื่องนี้ว่า
สำหรับผู้ที่ประกาศว่า "ไม่ยอมรับใช้ (พระ)" คุณพ่อต่อสู้โดยอาศัยพระนางผู้ทรง
"ยอม" รับผู้ทรงประทานชีวิตมาสู่ครรภ์ และพระนางได้กลายเป็น "มารดาแห่งอวัยวะของพระคริสต์" คือพระกายทิพย์ของพระคริสต์ หรือพระศาสนจักรนั่นเอง
ในพระนางผู้ปฏิสนธินิรมลนั้น เป็นศูนย์รวมของโลกและสวรรค์...เตือนให้รู้ถึงการเผชิญหน้ากับศัตรูของพระนาง
และตระเตรียมความมีชัยแห่งพระศาสนจักร...และการประจักษ์ที่ฟาติมาก็ได้อุบัติขึ้น...ระหว่างวันที่
13 พฤษภาคม ถึง 13 ตุลาคม 1917
พฤติการณ์
บัดนี้ เชิญผู้อ่านไปยังฟาติมา ประเทศโปรตุเกส
โปรตุเกส เป็นประเทศเล็ก ๆ และยากจน ...
ในปี 1917 โปรตุเกสถูกครอบงำโดยพวกสมาคมลับนอกกฏหมาย
บ้านเมืองอยู่ในสภาพระส่ำระสาย
ฟาติมา เป็นหมู่บ้านชาวชนบทเล็ก
ๆ ที่ยากจน เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน แต่พวกเขาก็เป็นคริสตชนที่มีความเชื่อลึกซึ้ง
มีความศรัทธาตามแบบประเพณีที่ปฏิบัติกันสืบมาช้านาน
แต่บัดนี้ ฟาติมากลายเป็น "ลูร์ด" แห่งโปรตุเกส เป็นปูชนียสถานแม่พระที่มหาชนทั่วโลกพากันจาริกบุญมาเยือน
ในวโรกาสสมโภชครบรอบ 50 ปี แห่งการประจักษ์ สมเด็จพระสันตะปาปา ปอลที่ 6 ได้เสด็จไปทรงเป็นองค์ประธานด้วยเมื่อ
13 พฤษภาคม 1967
แม่พระทรงประจักษ์ที่ฟาติมา 6 ครั้ง
ทุกวันที่ 13 ของเดือน ตั้งแต่ 13 พ.ค. ถึง 13 ต.ค. 1917 ยกเว้นเฉพาะเดือนสิงหาคม
เด็กทั้งสามได้รับการขัดขวาง คือ ถูกนายอำเภอที่ไม่เอาพระเอาเจ้า จับพวกเขาไปขังคุก
และขู่ว่าจะเอาไปทอดในกะทะน้ำมันเดือน แต่เมื่อถูกปล่อยตัว แม่พระก็ประจักษ์มาวันที่
19 สิงหาคม ที่วาสิญอส
ตำบลที่ประจักษ์ชื่อ "ลาโค
วา ดา อิรีอา" อยู่ห่างจากฟาติมา 3 กม. ตำบลนี้อุดมด้วยหญ้าและต้นไม้เขียวชอุ่ม
เด็กทั้งสามที่เห็นการประจักษ์ คือ ด.ญ. ยาชินทา มาร์โต อายุ 7 ขวบ พี่ชายชื่อ ฟรังซิสโก มาร์โต อายุ 9 ขวบ และ ด.ญ.ลูซีอา โดสซังโตส ลูกพี่ลูกน้องอายุ
10 ขวบ ลูซีอารับศีลมหาสนิทครั้งแรกแล้วทั้งสามไม่รู้หนังสือ แต่ทั้งสามรู้จักบทภาวนาและหัวข้อคำสอนที่สำคัญจากการบอกสอนภายในครอบครัว
ทั้งสามนำแกะไปเลี้ยงที่ถ้ำ "กาเบโซ" บ้าง ที่แอ่ง "ลาโควา ดาอิรีอา" บ้าง
ที่จริงก่อนหน้ารับการประจักษ์จากพระแม่เจ้า
เด็กทั้งสามได้รับการประจักษ์จากเทวดาอารักขา ประเทศโปรตุเกสมา 3 ครั้งแล้ว ในปี
1916 เทวดาสอนเด็กให้สวดบทภาวนาหลายบท และให้ทำพลีกรรม
ครั้งแรกเทวดาประจักษ์มาในฤดูใบไม้ผลิ
1916 กล่าวว่า "อย่ากลัวเลย ฉันเป็นเทวดาแห่งสันติ
จงสวดพร้อมกับฉัน (แล้วเทวดาสอนบทสวด) "ข้าแต่พระเจ้า หนูเชื่อ
หนูขอนมัสการ หนูไว้วางใจ และรักพระองค์ หนูขอโทษพระองค์สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ
ที่ไม่นมัสการ ไม่ไว้วางใจ และไม่รักพระองค์"
"สวดอย่างนี้นะ แล้วดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระจะโอนอ่อนลงตามคำสวดของหนู"
ครั้งที่ 2 ในฤดูร้อน ปี 1916 "หนูจงสวดมาก ๆ ดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและแม่พระมีโครงการพระมหากรุณาสำหรับหนู...จงถวายคำภาวนาและพลีกรรมแด่พระองค์เสมอไป
"หนูสามารถถวายพลีกรรมได้จากสิ่งต่าง
ๆ มากมาย ... จงถวายแด่พระเพื่อเป็นการชดเชยการใช้โทษบาปมากมายที่มนุษย์ทำผิดต่อพระองค์
และเพื่อวอนขอให้คนบาปได้กลับใจ ทั้งนี้จะนำมาซึ่งสันติสำหรับประเทศของหนูเอง
ฉันเป็นเทวดาผู้อารักขาประเทศโปรตุเกส เป็นต้น หนูจงยอมรับความทุกข์ยากที่พระเป็นเจ้าทรงใช้มาเยี่ยมหนู"
ครั้งที่ 3 ฤดูใบไม้ร่วง ปี
1916
เทวดานำศีลมหาสนิทมาให้เด็กทั้งสามรับ
ก่อนจะรับ ได้สอนให้สวดบทต่อไปนี้ 3 จบ "ข้าแต่พระตรีเอกภาพ พระบิดา
พระบุตรและพระจิต หนูขอนมัสการพระองค์อย่างสุดซึ้ง และขอถวาย พระกาย พระโลหิต
พระวิญญาณ และเทวภาพของพระเยซูคริสต์เจ้า ผู้สถิตอยู่ในตู้ศีลทั่วสกลโลก เพื่อชดเชยการสบประมาท
การทุราจาร และความเฉยเมยของผู้ทำผิดแสลงพระทัยพระองค์ เดชะพระบารมีหาขอบเขตมิได้แห่งดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
และดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ ขอให้คนบาปได้กลับใจด้วยเถิด"
ที่น่าประหลาดคือ เด็กทั้งสามมิได้เล่าเรียน
แต่สามารถเข้าใจบทภาวนาที่เทวดาสอน และจดจำนำมาสวดอีกบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้
13 พฤษภาคม 1917 แม่พระทรงประจักษ์ครั้งแรก
เมื่อเด็กทั้งสามได้รับการเตรียมจากเทวดาแล้ว
แม่พระก็ได้ประจักษ์มาวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 เด็กทั้งสามพาแกะไปเลี้ยงที่แอ่งอิรีอาตามปรกติ
ไม่นึกฝันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ประมาณเวลาเที่ยง ทั้งสามกินอาหารที่เตรียมเอาไป
แล้วสวดลูกประคำพร้อมกัน หลังจากนั้นก็เล่น โดยเอาก้อนหินและกิ่งไม้เล็ก ๆ มาสร้างบ้านเล่นกัน
ฉับพลันนั้น มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้น ทั้งสามตกใจคิดว่าพายุจะมา
จึงรีบต้อนแกะเพื่อจะกลับบ้าน แสงจ้ากว่าเดิมวาบขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้วปรากฏแสงจ้าบนต้นโอ๊กเขียวชะอุ่ม
และตรงกลางดวงสว่างจ้านั้น เด็ก ๆ เห็น สตรีงามวิไล รังสีเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์
ทั้งสามตกใจกลัว จะวิ่งหนี แต่สตรีงามผู้นั้นตรึงเขาไว้ด้วยรอยยิ้มน่ารัก
"อย่ากลัว ฉันไม่ทำร้ายหรอก.."
ขอผ่านรายละเอียดในการประจักษ์และมาฟังลูซีอาที่พูดกับสตรีงาม
ในนามเด็กทั้ง 3
"ท่านมาจากไหนจ๊ะ?"
"ฉันมาจากสวรรค์"
"ท่านมาทำไมจ๊ะ?"
"ฉันมาขอให้หนูมาที่นี่ 6 ครั้ง
ติดต่อกัน เวลาเดียวกัน ในวันที่ 13 ของทุกเดือน และในเดือนตุลาคม ฉันจะบอกว่าฉันเป็นใคร
และต้องการอะไรจากหนู"
"ท่านมาจากสวรรค์....หนูล่ะไปสวรรค์ได้ไหม?"
"ได้ซิ หนูจะได้ไป"
ยาชินทาล่ะคะ?"
"ก็จะได้ไป"
"ฟรังซิสโกล่ะ?"
"ก็จะไปด้วย แต่เขาต้องสวดลูกประคำมาก
ๆ เสียก่อน"
หลังจากสนทนาดังกล่าวนี้แล้ว แม่พระก็เริ่มเรื่องที่สำคัญ
"หนูเต็มใจถวายพลีกรรม และความยากลำบากต่าง
ๆ แต่พระเป็นเจ้า เพื่อใช้โทษบาปมากมายที่ผิดแสลงพระทัยพระองค์ไหม?... หนูเต็มใจรับทนทุกข์ลำบากเพื่อคนบาปได้กลับใจ
เพื่อชดเชยคำสบประมาท ที่ล่วงเกินดวงหทัยนิรมลของแม่พระไหม?
"หนูทั้งสามเต็มใจค่ะ"
"เธอจะต้องประสบความยุ่งยากลำบากมากในไม่ช้านี้
แต่พระหรรษทานของพระเป็นเจ้า จะช่วยเหลือจุนเจือเสมอ"
แล้วสตรีงามค่อย ๆ ลอยขึ้นไปทางทิศตะวันออก...และอันตรธานหายไปในแสงอาทิตย์
13 มิถุนายน 1917 การประจักษ์
ครั้งที่ 2
ในการประจักษ์ครั้งที่ 2 นี้ เราจะดูเพียง
3 เรื่อง
1. หลังจากแม่พระขอให้เด็กทั้งสามสวดลูกประคำบ่อย
ๆ แล้ว ยังขอให้แทรกบทต่อไปนี้ทุก 10 เม็ด ด้วย
"พระเยซูเจ้าข้า โปรดยกบาปโทษของเรา
โปรดช่วยเราให้พ้นไฟนรก และโปรดช่วยวิญญาณไฟชำระ โดยเฉพาะวิญญาณที่ถูกทอดทิ้ง"
2. แล้วแม่พระมอบความลับให้เด็กแต่ละคนเฉพาะตัว
ห้ามบอกคนอื่น สิ่งนี้ทำให้เด็กทั้งสามรู้สึกลำบากใจ (ที่จะรักษาความลับไว้)
3. ภายหลังเมื่อเป็นซิสเตอร์แล้ว ลูซีอารับคำสั่งให้เขียนความลับนั้นเก็บไว้
ลูซีอาทูลถามพระเยซูเจ้าในตู้ศีล ก็ได้รับคำตอบชัดเจนจากพระองค์ให้เผยความลับได้ส่วนหนึ่ง
ที่เหลือให้คงรักษาไว้สืบไป
ต่อไปนี้เป็นบันทึกที่ลูซีอาเขียน
เมื่อ 17 ธ้นวาคม 1927
ลูซีอาขอแม่พระอีกครั้งให้พาทั้ง 3
คน ไปสวรรค์ แม่พระตอบว่า
"ฉันจะรับยาชินทาและฟรังซิสโกไปในไม่ช้านี้แหละ
ส่วนหนูนั้น ต้องอยู่อีกนาน พระเยซูเจ้าต้องการให้หนูนำคนอื่นมารู้จักและรักฉัน
พระองค์ประสงค์จะให้โลกศรัทธาภักดีต่อดวงหทัยนิรมลของฉัน"
"ยังงี้ หนูมิต้องอยู่คนเดียวหรือคะ?"
"ไม่หรอกหนู ฉันจะไม่ทิ้งหนูเลย
ดวงหทัยนิรมลของฉันจะเป็นที่หลบภัยของหนู และเป็นหนทางนำหนูไปหาพระเป็นเจ้า..."
13 กรกฏาคม 1917 การประจักษ์
ครั้งที่ 3
มี 3 สิ่งที่จะดูในการประจักษ์ครั้งที่
3 คือ
1. แม่พระขอร้องอีกให้สวดลูกประคำทุกวันและเสริมว่า
"จงสวดด้วยความตั้งใจ ขอให้สงคราม (โลกครั้งที่ 1) สงบ มีแต่การวอนขอพระนางเท่านั้น
มนุษย์จะได้รับพระคุณนี้"
2. พระนางบอกอีกว่า "ให้มาทุกเดือน
แล้วถึงเดือนตุลาคม ฉันจะบอกว่าฉันเป็นใคร และต้องการอะไร แล้วฉันจะทำอัศจรรย์ใหญ่ให้ทุกคนจะได้เชื่อพวกหนู"
3. ที่สุด "จงทำพลีกรรมเพื่อคนบาป
และสวดบ่อย ๆ ว่า ข้าแต่พระเยซู พลีกรรมนี้เพื่อแสดงความรักต่อพระองค์
เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ และเพื่อชดเชย การทำขัดเคือบดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีอา"
19 สิงหาคม 1917 การประจักษ์ครั้งที่
4
ในการประจักษ์ครั้งที่ 4 มีสิ่งสำคัญอย่างเดียวคือ
"จงสวดภาวนา สวดมาก ๆ
และทำพลีกรรมเพื่อคนบาป...วิญญาณมากมายต้องไปนรก เพราะไม่มีผู้ทำพลีกรรมและสวดให้เขา"
13 กันยายน 1917 การประจักษ์
ครั้งที่ 5
การประจักษ์ครั้งที่ 5 นี้ เราจะเล่าเพียงตอนเดียว..."
ลูซีอาขอพระนางพรหมจารี ช่วยบำบัดคนเจ็บป่วยที่หลายคนได้วอนขอ
พระนางพรหมจารีตอบว่า "ฉันจะบำบัดให้หายเป็นบางคน มิใช่ทุกคน เพราะพระเป็นเจ้าไม่ทรงพอพระทัย"
(เนื่องจากอะไรให้ผู้อ่านคิดเอาเอง)
13 ตุลาคม 1917 การประจักษ์
ครั้งที่ 6
เนื่องจากข่าวที่ว่าวันนี้จะมีมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่
จึงมีมหาชนสุดคณนาไหลมาเทมา...ทั้งคนที่เชื่อและคนที่มาเพราะความมักรู้มักเห็น
ทั้งคนที่คัดค้าน ตลอดจนนักหนังสือพิมพ์ ผู้สังเกตุการณ์ (แพทย์ นักวิชาการ
ฯลฯ) เท่าที่ทางการคาดคะเนมีถึง 70,000 คน
แม่พระตรัสอะไร?
"ฉันคือพระมารดาแห่งสายประคำ
ฉันมาเตือนสัตบุรุษให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต อย่าทำบาป ให้เป็นที่ขัดเคืองพระทัยพระเยซูเจ้า
บาปนั้นมากมายเกินไปแล้ว จงสวดลูกประคำ และใช้โทษบาปของตนเถิด."
พระนางเสริมว่า "ฉันอยากให้สร้างวัดหลังหนึ่ง
ที่ตรงนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ฉัน" และอีกตอนหนึ่งว่า "สงครามจะยุติลงในไม่ช้า
ถ้ามนุษย์แก้ไขความประพฤติของตน"
แล้วพระนางค่อย ๆ ถอยห่างหายลับไป ในแสงอาทิตย์ พลางชี้หัตถ์ไปทางนั้น
และได้เกิดมหัศจรรย์ใหญ่ ซึ่งฝูงชนทั้งหมดเห็นเป็นพยาน
ฉับพลันนั้น ลูซีอาร้องว่า
"ดูดวงอาทิตย์ซิ"
ฝูงชนสังเกตเห็นเหตุการณ์น่าตกใจสะเทือนขวัญเพียงครั้งเดียวในชีวิต
ฝนหยุดตกเมฆครึ้มฝนแต่เช้าจางหายไป ดวงอาทิตย์ปรากฏตรงศรีษะเหมือนรูปจานเงิน
มองด้วยตาเปล่าไม่เคืองตา แล้วฉับพลันนั้นดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนรอบตนเองประดุจล้อไฟ
แสงพวยพลุ่งไปรอบทิศ เปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ท้องฟ้า ต้นไม้ แผ่นดิน หิน และฝูงชน
เหมือนถูกย้อมด้วยสีเขียว เหลือง แดง ม่วง ดวงอาทิตย์หยุดชั่วครู่ แล้วหมุนแผ่รังสีจ้า
กว่าเก่าอีก... แล้วเริ่มใหม่อีกเป็นครั้งที่ 3
บัดดลนั้นฝูงชนเห็นดวงอาทิตย์หลุดลอยจากท้องฟ้า
หมุนเคว้งคว้างอยู่เหนือพวกเขา
ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนร้องว่า
"มหัศจรรย์ มหัศจรรย์" บ้างร้องว่า "วันทามารีอา ส่วนใหญ่วิงวอนว่า
"พระเจ้าข้า กรุณาลูกด้วยเถิด ทุกคนคุกเข่าลง...สวดบทแสดงความทุกข์ดังลั่น
และขับร้องบทข้าพเจ้าเชื่อ...เสียงสั่นเทา ..ชายชราคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "พรหมจารีย์ศักดิ์สิทธิ์
พรหมจารีย์ผู้มีบุญ พรหมจารีย์แห่งสายประคำ โปรดช่วยประเทศโปรตุเกสด้วยเทอญ
ฯลฯ.....
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 10 นาที ท่ามกลางฝูงชน
70,000 คน เป็นประจักษ์พยานยืนยัน มีทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ ทั้งชาวชนบทไร้การศึกษา
และชาวเมืองที่มีการศึกษา ทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และนักหนังสือพิมพ์...ปรากฏการณ์นี้
แม้ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึง 30-40 กม. ก็ยังสังเกตุเห็น
และเมื่อฝูงชนหายตื่นตระหนกตกใจแล้ว
ทุกคนยังต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเสื้อผ้าที่เปียกปอนด้วยน้ำฝน และรอยเปื้อนน้ำโคลนกระเซ็นเมื่อสักครู่นี้กลับแห้งสนิท
และสะอาดหมดจดทีเดียว
ดังนี้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ได้ยินเสียงผูงชนตะโกนเป็นพัน
ๆ ครั้ง ว่า "เราได้เห็นเครื่องหมายของพระเป็นเจ้าแล้ว" มีแต่ผู้มีความเชื่อวิปริตเท่านั้นกล้าปฏิเสธเหตุการณ์นี้!
บัดนี้เราจะสรุปท่าทีของพระศาสนจักรต่อพฤติการณ์ทั้งมวลที่ฟาติมา...
ตลอดเวลาหลายปีบุคคลฝ่ายพระศาสนจักร (ในโปรตุเกส) ขณะนั้นคัดค้านอย่างหนักหน่วง...มีพระสงฆ์ไม่กี่องค์กล้าศึกษาปัญหาเรื่องนี้
และลงมือป้องกัน
จวบจนวันที่ 3 พ.ค. 1922 พระสังฆราชองค์ใหม่แห่งเลอีเรีย
(ฟาติมาอยู่ในสังฆมณฑลนี้) คือ พระคุณเจ้า ดาซิลวา ได้สั่งให้สอบสวนเรื่องนี้ตามประมวลกฏหมายพระศาสนจักร...และในวันที่
13 ตุลาคม 1930 จึงได้ประกาศเป็นทางการโดยยืนยันทางจดหมายเวียนถึงประชาสัตบุรุษว่า
การประจักษ์แก่เด็กสามคนนั้น เป็นเรื่อง "เชื่อถือได้" และตั้งแต่นั้นมาก็อนุญาตให้ประกอบคารวกิจถวายแด่พระแม่เจ้าแห่งฟาติมาได้โดยเปิดเผย
วันที่ 13 พฤษภาคม ปีต่อมา คือ 1931 สมเด็จพระคาร์ดินัลแห่งลิสบอนทรงเป็นประธานเชิญชวนประชาสัตบุรุษ
พระสงฆ์ พระสังฆราชทั่วประเทศโปรตุเกส ให้พร้อมใจกันมาสมโภชเป็นการสมนาคุณพระแม่เจ้าแห่งฟาติมา
ต่อมาปี 1936 เกิดสงครามกลางเมืองในสเปน...เนื่องจากพวกคอมมิวนิสต์สเปนต้องนองเลือด
วัดวาอารามถูกทำลาย ชีสงฆ์ถูกฆ่าทารุณ ...คณะพระสังฆราชและประชาสัตบุรุษโปรตุเกส
ได้สวดวิงวอนพระแม่แห่งฟาติมา และปฏิญาณว่า "ถ้าประเทศโปรตุเกสพ้นจากมหันตภัยนี้
ก็จะถวายประเทศชาติแด่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่อีกครั้งหนึ่ง"
ผลก็คือระหว่างที่สเปนกำลังตกอยู่ในภาวะโกลาหลอลหม่าน...ส่วนโปรตุเกส
ซึ่งอยู่ใกล้ชิด คงอยู่เป็นสุขสวัสดี ในความคุ้มครองของพระแม่เจ้าแห่งฟาติมา
ฉะนั้น วันที่ 13 พ.ค. 1937 ทั้งคณะสงฆ์และสัตบุรุษกว่า
500,000 คน ได้ไปชุมนุมฉลอง ณ แอ่งอิรีอา เพื่อรื้อฟื้นการปฏิบัติตามสารที่แม่พระแจ้งให้ทราบ
คือ ปรับชีวิตของตนเสียใหม่ ด้วยการใช้โทษบาปและสวดภาวนาด้วยใจร้อนรน เพื่อพระแม่เจ้าจะได้ทรงคุ้มครอง
มิใช่เฉพาะแต่ครอบครัวของตน แต่ทั้งประเทศโปรตุเกสด้วย
สารแห่งฟาติมา ที่เป็น ความลับ มี
3 ข้อ 2 ข้อแรกเปิดเผยแล้ว คือ
1. การเห็นนรก แดนทรมานน่าสะพรึงกลัว ซึ่งวิญญาณจำนวนมากเป็นต้นเนื่องจากบาปผิดต่อความบริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร
2. ลัทธิคอมมิวนิสต์จะระบาดไปทั่วโลก ...จะมีการเบียดเบียนพระศาสนจักร
ข้อ 3. ยังเป็นความลับอยู่ โดยลูซีอา เขียนใส่ของผนึกไว้ และจะยังไม่เปิดเผย
"จนกว่าจะถึงปี 1960" ต่อจากนั้นสุดแต่สมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงเห็นควร...
เราทราบว่าพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ได้ทรงเปิดอ่านและผนึกซองไว้ต่อไป
เฉพาะความลับข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับรุสเซียและสงครามโลก
แม่พระบอกว่า "สงครามโลก (ครั้งที่ 1) จะสิ้นสุดลง (ค.ศ. 1914-1918)
- แต่ถ้ามนุษย์ไม่เลิกทำเคืองพระทัยพระเป็นเจ้า
ก็จะเริ่มควันสงครามคุกรุ่นขึ้นอีก ในสมณสมัยพระสันตะปาปาองค์ถัดไป (คือสงครามโลกครั้งที่
2 ซึ่งคุกรุ่นแต่ปี 1938...ในสมณสมัยพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 และระเบิดเมื่อปี
1939-1945)
- คืนใดที่เห็นแสงสว่างประหลาดเกิดขึ้น
ก็ให้รู้ไว้เถิดว่า นั่นแหละอาณัติสัญญาณที่พระเป็นเจ้ากำหนดลงโทษโลกใกล้เข้ามาแล้ว
เนื่องจากบาปกรรมต่าง ๆ ...จะมี สงคราม ทุพภิกขภัย การเบียดเบียนพระศาสนา และต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา...(ลูซีอาเขียนละไว้
และแสงสัญญาณนี้ปรากฏจริงในคืน วันที่ 25-26 ม.ค. 1938 เห็นได้ทั่วยุโรป...)
- เพื่อป้องกันเหตุร้ายนั้น ฉัน (แม่พระ)
มาขอให้ถวายประเทศรุสเซียแก่ดวงหทัยนิรมลของฉัน และให้รับศีลมหาสนิทเป็นการชดเชยในวันเสาร์ต้นเดือน
- ถ้าเชื่อฟังคำขอร้องของฉัน รุสเซียจะกลับใจ
และจะมีสันติภาพ
- มิฉะนั้น ลัทธิอุบาทว์นั้น จะนำความลุ่มหลงไปในโลก
จะเกิดสงครามและการเบียดเบียนพระศาสนจักร...คนดีจำนวนมากจะเป็นมรณสักขี พระสันตะปาปาจะต้องระทมทุกข์ทรมาน
หลายชาติจะถูกทำลายไป...
"ข้าแต่พระแม่แห่งฟาติมา โปรดเสนอวิงวอนเพื่อลูกทั้งหลายด้วยเทอญ
Prayer is the key to real success:
We stand tallest when we are on our knees
การสวดมนต์ภาวนาเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จที่แท้จริง
เมื่อเราคุกเข่าลงเพื่อสวดมนต์ภาวนา
เราจะยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุด