เออแชน บาร์เบอแด๊ต อายุ 12 ขวบ เป็นเด็กเอาจริงเอาจัง
ฉลาดเฉลียว อ่อนโยน ซื่อ ๆ และเป็นเด็กดี เขาโผล่ออกมาจากยุ้งข้าว เพื่อ
"ดูเวลา" และเขาได้เห็นหญิงงามผู้หนึ่ง ปรากฏมากลางอากาศ ลอยอยู่สูงประมาณ
2-3 เมตร เหนือหลังคาบ้านข้างเคียง
"เธอยิ้มให้ฉัน" เขาเล่าในภายหลัง "และฉันเพ่งมองเธออย่างไม่กระดุกกระดิกเลย
ฉันทั้งประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน"
เออแชนบอกกับน้องชายวัย 10 ขวบ ซึ่งเป็นคนว่องไวและมีชีวิตชีวาว่า "ยอแซฟ
น้องไม่เห็นอะไรเลยหรือ?"
"เห็นซิพี่ ผมเห็นสตรีแสนงามคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อยาวสีฟ้า สีฟ้าเข้มเป็นมันระยับ
เหมือนสีครามที่ใช้ลงผ้าเลย" ยอแซฟและเอแชนบรรยายถึงภาพปรากฏที่น่าพิศวงนั้น
"สตรีงามนั้นเป็นความงามที่น่าชื่นใจ ดูเธอช่างเยาว์วัยนัก 18-20
ปี เห็นจะได้ เสื้อยาวของเธอประดับด้วยดวงดาวสีทอง ตั้งแต่คอจดชายกระโปรง
แบบเสื้อมีลักษณะกว้างและมีจีบลู่ลงมา แขนเสื้อกว้างคลุมลงจนถึงข้อมือ
คอเสื้อเป็นแบบเรียบ ๆ แต่งามมาก สตรีงามสวมรองเท้าสีฟ้ามีริบบิ้นเป็นสีทอง
มีผ้าคลุมศรีษะเป็นสีดำ คลุมผม
"สวมมงกุฎทองเหนือผ้าคลุม มงกุฏมองดูคล้าย ๆ กับรัดเกล้าหรือเหมือนมงกุฎกลับหัวนั่นเอง
มือของพระนางเล็ก และแบออกมายังเราเหมือนกับแม่พระเหรียญอัศจรรย์ พระพักตร์เรียวกลม...สดชื่น...งามเช่นเดียวกับรูปร่าง
ผิวผ่อง...ปากเล็กระบายด้วยรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ดวงตาอ่อนหวาน อย่างไม่มีอะไรเปรียบได้
ความอ่อนโยนอย่างที่สุดแผ่มายังเราเหมือนแม่ ดูคล้ายกับว่าเธอมีความยินดีที่เห็นเราเพ่งมองพระนาง"
"เราไม่เคยเห็นความงามแบบนี้ไม่ว่าจะในบุคคลหรือในรูปภาพก็ตาม"
เด็กทั้งสองกล่าวต่อ
แต่ชานเน็ต เดอเต มารดาและเซซาร์ บาร์เบอแด๊ต บิดามองไม่เห็นอะไรเลย จึงสรุปว่า
"ลูกเอ๋ย เจ้าไม่ได้เห็นอะไรสักหน่อยเลย ถ้าเจ้าเห็นจริง เราก็จะต้องเห็นเหมือนเจ้าซิ
มาเถอะมาเก็บฟางต่อเถอะ เร็วเข้านะ"
แม้ว่า เซซาร์ บาร์เบอแด๊ต จะเป็นคนใจศรัทธา ก็ยังลังเลใจ (เขาไปเฝ้าศีลมหาสนิททุกวัน)
เขาบอกกับ ชานเน็ต เดอเตว่า
"อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะชานเน็ต เพราะจะไม่มีใครเชื่อแล้วจะเป็นที่สะดุดมากกว่า"
กระนั้นก็ดี เมื่อโกยฟางไปได้ไม่นาน เขากลับบอกกับเอแชน ลูกชายว่า
"ออกไปดูอีกทีซิ เจ้ายังเห็นอะไรอีกไหม?"
ลูกชายรีบวิ่งไปบนทางเท้าหน้าประตู ยืนยันว่า
"ยังอยู่จ้ะพ่อ เหมือนที่หนูเห็นตะกี้นี้เลย"
ยอแซฟตบมือลั่นแล้วอุทาน ว่า "โอ! งามอะไรเช่นนั้น โอ! งามแท้ ๆ
!" เด็ก ๆ ร้องซ้ำอย่างเดียวกัน พลางหันไปพูดกับมารดาซึ่งรีบวิ่งมาดูอีกคน
"แม่! แม่มองไม่เห็นหญิงงามที่แต่งตัวสีฟ้า มีผ้าคลุมผมสีดำและสวมมงกุฎดอกหรือแม่?"
"แม่ไม่เห็นอะไรเลยนี่ลูก" แต่นางก็เสริมว่า
"บางทีอาจจะเป็นแม่พระประจักษ์มาก็ได้นะ เพราะลูกเป็นคนมองเห็นท่านนี่นะ
สวดข้าแต่พระบิดาและวันทาอย่างละ 5 บท เป็นการถวายเกียรติแด่พระนางก็แล้วกัน"
ในคืนเงียบสงบนั้น ประตูลั่นเอี๊ยด แล้วเปิดออก: "เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
"ไม่มีอะไรน่า" นายบาร์เบอแด๊ตพูด และภรรยาของเขาก็แถมท้ายว่า
"เป็นเรื่องของเด็ก "บ๊อง ๆ " ที่พูดกันว่าเห็นอะไรแปลก
ๆ เท่านั้น คนอื่นไม่เห็นมีใครเขาเห็นกันเลย"
เด็กสวดบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอาอย่างละ 5 บท
"ดูอีกทีซิ เจ้ายังเห็นอะไรอยู่อีกหรือเปล่า?" ผู้เป็นแม่สั่งดูซิ!
แม่จะไปเอาแว่นตา บางทีใส่แว่นตาแล้วแม่อาจจะมองเห็น"
นางกลับมาในเวลาไม่ช้านักพร้อมกับหลุยส์ สาวใช้ แต่หลุยส์ก็เช่นเดียวกันไม่เห็นอะไรเลย
แม่จึงพูดเสียงเคร่งกับลูก ๆ ว่า
"มันน่าไหมล่ะ! พวกเราไม่เห็นอะไรสักอย่าง ไปเก็บฟางให้เสร็จ พวกเจ้าเป็น
"พวกโกหก" และพวกประสาททั้งนั้นแหละ"
เด็ก ๆ มองภาพอัศจรรย์นั้นอย่างเต็มตาคล้ายกับจารึกไว้หมด เออแชนพูดขึ้นว่า
"แม่จ๋าถ้าแม่ยอม หนูขออยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย" แล้วหนูน้อยทั้งสองก็ยังคงจ้องดูด้วยความชื่นชมต่อไป
"โอ! สวยจริง ๆ โอ1 งามอะไรอย่างนั้น!"
หลังจากสวดบทข้าแต่พระบิดาและวันทามารีอา อีกอย่างละ 5 จบแล้ว สักครู่เด็ก
ๆ ก็พูดต่อไปว่า
"สตรีงามนั้นรูปร่างใหญ่อย่างกับ เซอร์วิตาลีน แน่ะ"
"อย่างนั้นหรือ?" แม่เด็กพูด "อย่างนั้นก็ต้องไปตามเซอร์วิตาลีนมา
พวกเซอร์เขาดีกว่าเจ้าทั้งสองเป็นไหน ๆ ถ้าเจ้าเห็นพวกเขาก็ต้องมองเห็นด้วย"
เซอร์มาถึงที่นั่น แต่ก็บอกว่า "ฉันอุตส่าห์เปิดตาโตเท่าไร ก็ไม่เห็นอะไรเลย"
เออแชนย้ำว่า "มาเซอร์เห็นดาว 3 ดวงที่เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมไหมฮะ?"
คนที่อยู่ที่นั่นทุกคนเห็นดาวสามดวงดังกล่าว แต่ไม่มีใครเห็นอะไรอื่นอีก
"ใช่ ฉันเห็น" เซอร์พูด
"อ้าว! ก็ดาวดวงที่อยู่ยอดแหลมนั้นน่ะอยู่ตรงศรีษะของสตรีงามพอดีเลย"
เซอร์วิตาลีนไปตามฟรังซวสริชเช อายุ 11 ขวบ และชานน์มารี เลอโบส อายุ
9 ขวบ และเด็กอื่นอีกให้มาที่นั่น ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอมาถึงเด็ก
ๆ ก็ร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้นว่า
"โอ! หญิงแสนงาม เธอใส่เสื้อสีฟ้า มีดาวสีทองเต็มตัวเลย!
คุณพ่อ เกแรง เจ้าอาวาส อายุ 72 ปีแล้ว ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
เป็นตัวอย่างในฤทธิ์กุศลมากมาย มีความศรัทธาภักดีต่อแม่พระมาก และท่านสมควรที่จะได้รับเกียรติได้รับการเยี่ยมเยียนของพระแม่ที่ปงต์แมง
ท่านมายังที่เกิดเหตุ คุณพ่อผู้แสนดีจ้องมองฟ้า แต่ไม่เห็นอะไร
ขณะนั้นมีกางเขนสีแดงอันหนึ่งปรากฏอยู่บนทรวงอกของพระมารดา แล้วก็มีกรอบหนา
12 ซม. เป็นสีฟ้ามาทำเป็นวงโอบรอบพระนางไว้ แล้วมีเชิงเทียนที่มีเทียนปักอยู่แล้ว
4 อัน ออกมาจากขอบวงรูปไข่นั้น เทียนยังไม่ได้จุด พระนางผู้มีดวงดาวเป็นเครื่องประดับ
ยังคงยิ้มแย้มอยู่ แล้วเธอก็หน้าเศร้าลง
"ถ้ามีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ได้เห็นแม่พระก็แปลว่าเราเป็นผู้ไม่มีเกียรติพอ"
เซอร์มารี-เอดัวร์ ก็เช่นเดียวกับเซอร์ วิตาลีน เธอมาจากโรงเรียนใกล้เคียง
เธอพูดกับคุณพ่อเจ้าอาวาสว่า
"คุณพ่อ ลองพูดกับพระนางดู ดีไหมคะ?"
"โธ่!" เจ้าอาวาสผู้ศักดิ์สิทธิ์ตอบด้วยเสียงตื้นตัน "ก็พ่อยังมองไม่เห็นท่านเลย
จะให้พ่อกล้าพูดกับท่านได้อย่างไรกัน?"
"อย่างนั้น คุณพ่อบอกให้เด็ก ๆ พูดกับพระนางจะได้ไหมคะ?"
"สวดกันเถอะ" คุณพ่อเจ้าอาวาสตัดสิน
เซอร์ มารี-เอดัวร์ เริ่มต้นก่อสวดลูกประคำ
ร่างของพระนางมารีอาค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นทุกที ๆ
เด็ก ๆ เล่าว่า "เธอใหญ่กว่าเซอร์ วิตาลีน ตั้ง 2 เท่า ดวงดาวบนเสื้อเธอก็ดูเหมือนเพิ่มจำนวนมากขึ้น
เหมือนดอกไม้บาน ดวงดาวเคลื่อนไหวจัดตัวเองแล้วเข้าเป็นคู่ ๆ ไปหยุดอยู่บนเท้าของพระนาง"
"เหมือนกับกองทัพมด ที่วิ่งไปเกาะตัวอยู่บนเสื้อของพระนางก็เป็นสีทองระยับไปหมด"
ขณะที่เซอร์มารี-เอดัวร์ ก่อบท มักซีฟีกัต (ลก.1,46) ได้มีแผ่นป้ายสีขาวขึงอยู่ด้านใต้เท้าของพระนาง
มีอักษรสีทองผุดขึ้นมาแล้ว คำว่า "จง" ก็ส่องสว่างอยู่บนป้ายนั้น
เป็นที่น่าสังเกตุว่าตอนนี้เด็ก ๆ อยู่กันคนละที่
มีอักษรตัวอื่น ๆ ผุดขึ้นมาอีก ตัวอักษรสูงประมาณ 25 ซ.ม. พอจบบทมักญีฟีกัต
เด็ก ๆ อ่านได้ความว่า
"จงภาวนา ลูกของฉันเอ๋ย"
คุณพ่อเจ้าวัดเริ่มร้องเพลงแม่พระเป็นภาษาลาติน แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้นอีก
คำที่ผุดขึ้นอ่านได้ความดังนี้
"พระเป็นเจ้าจะทรงอภัยโทษพวกเจ้าในเวลาอันใกล้นี้"
"เลิกแล้ว เลิกแล้ว สงครามจะสงบ เราจะมีสันติกันเสียที" คนที่อยู่ในเหตุการณ์บอกต่อ
ๆ กัน พวกเขาเริ่มขับร้องเพลง "อินวีโอลาตา" มีอักษรปรากฏขึ้นมาใหม่บนป้ายอ่านได้ความว่า
"พระบุตรของฉัน"
ฝูงชนตื่นเต้นมากขึ้น "ต้องเป็นแม่พระแน่แล้ว!" เขาคิดตอนปลายของเพลงอินวีโอลาตา
และซัลเวเรจีนา ที่ร้องต่อ ๆ กัน มือที่เรามองไม่เห็นก็เขียนต่อไป เด็ก
ๆ อ่านได้ว่า
"พระบุตรของฉันได้รับฟังแล้ว"
แล้วเด็ก ๆ ก็อ่านข้อความทั้งหมดได้ว่า "จงภาวนา ลูกของฉันเอ๋ย พระเป็นเจ้าจะทรงอภัยโทษพวกเจ้าในเวลาอันใกล้นี้
พระบุตรของฉันได้รับฟังแล้ว"
คุณพ่อเจ้าวัดหันไปบอกเซอร์มารี เอดัวร์ ว่า
"ร้องเพลงสดุดีแม่พระสักบทซิ"
"เซอร์ ได้เริ่มต้นเพลง "พระมารดาแห่งความหวัง"
ขณะนั้นแม่พระทรงยกพระหัตถ์ที่ปล่อยแบออกขึ้นเหนือไหล่ของพระนาง พระนางมองดูเด็ก
ๆ ได้ด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วพระนางก็ทำนิ้วเหมือนกับคนเล่นเปียโนช้า ๆ นุ่มนวล
เด็ก ๆ ร้องว่า "นั่นแน่ เธอหัวเราะ โอ! ช่างงามอะไรเช่นนี้!"
ผู้คนที่อยู่ที่นั้นทั้งร้องไห้ ทั้งหัวเราะในเวลาเดียวกัน พวกเขาพากันชมดวงหน้าของเด็ก
ซึ่งสะท้อนความน่าพิศวงที่ได้รับจากภาพประจักษ์อีกต่อหนึ่ง
"เราอยากจะกระโดดให้สูง" เด็กหญิงพูดขึ้น เออแชนเสริมว่า
"โอ! ถ้าฉันมีปีก!"
ตอนนี้เธอตกอยู่ในความเศร้า หน้าของเธอเศร้าเหลือเกิน" เด็ก ๆ พูด
"ตอนนี้คงจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ ๆ เลย" เด็ก ๆ พูด
แล้วก็จริง ๆ ดังนั้น กางเขนแดงอันหนึ่งสูงประมาณ 50-60 ซ.ม. ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพระนาง
ซึ่งลดมือลงเพื่อรับไว้ แล้วพระนางถือไว้ต่อหน้าพระนาง กางเขนนั้นสีแดงเข้ม
มีรูปพระคริสต์สีแดงสดอยู่บนนั้น บนยอดกางเขนมีป้ายสีขาว มีคำสีแดงเขียนว่า "เยซูคริสต์"
ขณะนี้ผู้คนที่ร่วมในเหตุการณ์พากันร้องเพลง "ปาร์เช โดมีเน"
ทันใดนั้นดาวดวงหนึ่งที่อยู่เท้าขวาของพระนาง ลอยผ่านกรอบที่ล้อมไปจุดเทียนทั้ง
4 แท่ง แล้วดาวดวงนั้นก็ลอยขึ้นไปหยุดอยู่ที่เหนือศรีษะของพระนาง ที่ซึ่งดูเหมือนว่าพระนางแขวนลอยอยู่
เซอร์มารี เอดัวร์ ร้องเพลง "อาเว มารีส สแตลลา"
"กางเขนสีแดงหายไปแล้วบนบ่าของพระนางปรากฏกางเขนเล็ก ๆ สีขาวข้างละอัน
กางเขนทั้งสองนั้นตั้งอยู่บนบ่าของพระนาง" เด็ก ๆ เล่า
พระมารดาพระเป็นเจ้ายิ้มให้เด็ก ๆ อีกครั้งหนึ่ง เด็ก ๆ ร้องความยินดีว่า
"พระนางหัวเราะแล้ว พระนางหัวเราะแล้ว"
ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง คุณพ่อเจ้าวัดจึงบอกว่า "พวกเรามาสวดค่ำกันเถิด"
ในขณะที่กำลังพิจารณามโนธรรมกันอยู่นั้น เด็ก ๆ ได้เห็นผ้าคลุมผืนใหญ่ขึ้นมาจากใต้เท้าของพระนาง
และลอยขึ้นไปอย่างช้า ๆ แล้วคลุมพระนางจนถึงเอว แล้วลอยขึ้นใหม่ทีละนิด
ๆ จนผ้าคลุมนั้นปิดคลุมพระนางจนถึงคอ
"มองดูเหมือนกับพระนางเข้าไปอยู่ใน "ถุง" อย่างนั้นแหละ"
เออแชนกล่าว
เด็ก ๆ มองเห็นเพียงแต่พระพักตร์น่าพิศวงของพระนางเท่านั้น แล้วพระพักตร์ก็ถูกคลุมด้วย
มีแต่มงกุฏเท่านั้นที่ยังมองเห็นได้ ทั้งดวงดาวที่อยู่เบื้องบนด้วย แล้วทุกอย่างก็หายไป
"ยังเห็นอะไรอยู่อีก หรือเปล่า?" คุณพ่อเจ้าวัดถาม
"ไม่เห็นแล้ว จบแล้ว" เด็ก ๆ ตอบ
ขณะนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่ม ฝูงชนรู้สึกงงงัน แต่ยังมีหวังอยู่เต็มเปี่ยม พากันค่อย
ๆ ทยอยกลับไป เหตุการณ์น่าพิศวงนั้นเหลือไว้แต่เพียงความเชื่อ
พวกเรารู้จักเด็กเหล่านี้ดีแกคงไม่สามารถจะแต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเองได้
เออแชนและยอแซฟนอนในยุ้งข้าวกับวัวคู่ยากของเขาตามปรกติ "เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
ทำไมจึงมองไม่เห็น คำเตือนล่วงหน้าของพระมารดาแห่งความหวังที่ปงต์แมง?
พวกเยอรมันยกมาถึงลาวาลแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งให้กระจัดกระจายกันเข้าไปในเมือง
แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตาม ชาวปรัสเซียได้หยุดการบุกรุกก่อนการประจักษ์มาของพระมารดาแห่งปงต์แมงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แรงดลใจลึกลับอะไรหนอที่ในคืนวันที่ 17 และ 18 มกราคม 1871 เจ้าชายเฟรเดริก
ชาร์ลสแม่ทัพเยอรมันได้หยุดการบุกรุก และทำไมพระเจ้าวิลเลียมแห่งปรัสเซีย
จึงเรียกกองทหารของพระองค์ ให้ออกจากบริเวณแม่น้ำแซน?
นักประวัติศาสตร์แห่งปงต์แมง ได้เล่าคำพูดที่ได้รับรู้มาแก่ นายพลฟอน
ชมิตต์ "ก็แค่นั้น เราไม่ไปไกลกว่านั้น เพราะที่ฝั่งทะเลเบรอตาญ พระมารดาที่เรามองไม่เห็นเป็นผู้ปิดกั้นหนทางของเราไว้"
พระคุณเจ้า วิการ์ด สังฆราชแห่งลาวาล ได้ถามเด็กที่เห็นภาพประจักษ์ ในวันที่เขารื้อฟื้นการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก
และรับศีลกำลังในวันเดียวกัน และให้เขาทำพิธีสาบานอย่างสง่า แล้วเขาก็ได้รื้อฟื้นความเชื่ออย่างสง่า
(ศีลสง่า) "ข้าพเจ้าเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อ"
ปีหนึ่งต่อมา วันที่ 2 ก.พ. 1872 หลังจากได้ขอความเห็นจากบรรดานักเทววิทยา
นายแพทย์ จิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งต่างก็มาสอบถามเด็กที่ได้เห็นภาพประจักษ์แล้ว
พระสังฆราชได้ตีพิมพ์บทความดังต่อไปนี้
"หลังจากที่ได้ผลของขบวนการทดสอบด้านสมอง ผลจากใบรับรองแพทย์ และรายงานจากบรรดานักเทววิทยาแล้ว
ตัดสินได้ว่าการปรากฏมานั้นมิได้เป็นเรื่องโกหก หรือภาพหลอน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความเจ็บป่วยบางอย่างทางสายตาของเด็ก
ๆ หรือเด็ก ๆ มีสติฟั่นเฟือน หรือเรื่องตาฝาดเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
เป็นเหตุการณ์ที่อาศัยธรรมชาติของร่างกายด้วย และมองเห็นได้ ซึ่งจะอธิบายว่าเป็นอำนาจของปีศาจก็ไม่ได้
และนอกจากนั้นยังบอกได้ว่าการประจักษ์ครั้งนี้ มีลักษณะที่เหนือธรรมชาติแสดงออกมา
เราตัดสินได้ว่าพระนางมารีอา พระมารดาของพระเป็นเจ้าได้ประจักษ์มาจริง
ในวันที่ 17 มกราคม 1871 แก่เออแชน บาร์เบอแด๊ต ยอแซฟ บาร์เบอแด๊ต ฟรังซวส
ริชเช และ ชานน์ มารี เลอโบสเซ ที่หมู่บ้านปงต์แมง ซึ่งมีประเพณีการนับถือแม่พระที่เรียกกันว่า "พระมารดาแห่งความหวัง"
พระมหาวิหารปงต์แมงได้สร้างขึ้นในปี 1900 ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ เงาของวิหารทอดลงบนแม่น้ำที่อยู่ใกล้
ๆ วิหารนี้อยู่ตรงสถานที่ที่แม่พระประจักษ์มานั่นเอง
เด็กทั้งสี่ที่ได้เห็นการประจักษ์ที่ปงต์แมง มีชีวิตต่อมาเป็นประจักษ์พยานที่แท้จริง
เออแชน เด็กชายคนโต ได้ยืนยันหลังจากได้เห็นภาพประจักษ์ไม่นานว่าเขามีกระแสเรียก
เขาได้บวชเป็นพระสงฆ์ และได้เป็นพ่อเจ้าวัดที่ ชาตียองซูร์ โคลมอง คุณพ่อถึงแก่มรณภาพ
วันที่ 2 พฤษภาคม 1917
คุณพ่อไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ปงต์แมง ขณะที่ฟังเรื่องเล่าถึงการประจักษ์ในครั้งนั้น
ยอแซฟ น้องชายได้เข้าบวชในคณะ โอบลาเดอ มารี เขาอยากเป็นมิสชันนารี แต่สุขภาพไม่อำนวย
จึงทำงานอยู่ที่ มาชองน์ รับหน้าที่ดังมิสชันนารี แห่งการประจักษ์ซึ่งคุณพ่อก็ได้ให้
"คำเล่า" ที่มีค่า คุณพ่อใช้ชีวิตบั้นปลายในบ้านของคณะที่ปงต์แมง
และอำลาโลกชั่วคราวนี้ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1930
ฟรังชวส ริชเช และชานน์ มารีเลอโบสเซ มีชีวิตอย่างเรียบง่ายและสุภาพ ไม่มีชื่อเสียง
.. คนแรกเป็นแม่บ้าน ต่อมาได้เป็นครูผู้ช่วยที่ชาตียอง เธอสิ้นใจวันที่
28 มีนาคม 1915 คนที่ 2 บวชในคณะครอบครัวศักดิ์สิทธิ์แห่งเบอร์โต
ข้าแต่พระแม่เจ้าแห่งปงต์แมง โปรดช่วยวิงวอนเทอญ....