แม่พระทรงประจักษ์ที่ตำบล ลาซาแลต ในวันเสาร์อนุพรต
ตรงกับวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1846 เป็นวันฉลองนักบุญ ยานูอารีโอ และเพื่อนมรณสักขี
บทพิธีกรรมของวันนั้นมีข้อความที่อ้างอิง และอธิบายสารของแม่พระแห่งลาซาแลตอยู่บ้าง
และเป็นไปได้ที่จะเห็นว่า คำพูดของแม่พระตรงกับข้อความในมิสซาของวันนั้น
กล่าวคือ
แม่พระตรัสว่า "เวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งทุกยุคทุกสมัย และเป็นการสิ้นสุดแห่งการจบสิ้นทั้งหลาย" ในขณะที่พระศาสนจักรอ่านบทจดหมายในมิสซาวันนั้นว่า "อีกไม่ช้าหรอก อีกไม่นานนัก พระองค์ผู้ซึ่งจะต้องเสด็จมา
ก็จะเสด็จมา" (ฮีบรู 10)
แม่พระทรงประกาศให้ทราบว่า พระบุตรจะทรงลงอาญาโทษในไม่ช้านี้..ในขณะที่พระศาสนจักรอ่านบท
พระวรสารเรื่องเวลาใกล้สิ้นพิภพของนักบุญมัทธิว
แม่พระตรัสว่า "ฉันเรียกลูก ๆ ของฉันให้เป็นอัครสาวกในสมัยหลังนี้
ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะออกไป และให้ความสว่างแก่โลก จงออกไป จงแสดงตัวให้ปรากฏ..."
พระศาสนจักรก็กล่าวในบทสวดหลังรับศีลว่า "สิ่งที่เราบอกแก่พวกท่านในความมืด
จงออกไปประกาศในความสว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงขึ้นไปประกาศจากบนหลังคาบ้าน"
(มธ.10)
ต่อไปนี้โปรดอ่านเรื่องการประจักษ์ของแม่พระ
ซึ่ง เมลานีได้เขียนด้วยมือของเธอเองว่า
"ในวันที่ 19 กันยายน ฉันกำลังเดินอยู่กับมักซีแมง
เรากำลังปีนขึ้นบนภูเขา มักซีแมง ขอให้ฉันสอนเขาเล่นเกม อย่างหนึ่ง เวลานั้นสายมากแล้ว
ฉันบอกเขาให้ไปเก็บดอกไม้เพื่อมาทำ "พระแท่น" เมื่อทำ "พระแท่น"
เสร็จแล้ว เราทั้งสองนอนหลับอยู่บนพื้นหญ้านั่นเอง
พอตื่นขึ้นมา ฉันก็เห็นแสงสวยงามสว่างกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก...
ฉันไม่รู้ว่าเกิดความรู้สึกเป็นสุขขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันรู้ว่าฉันถูกดึงดูดด้วยอะไรสักอย่าง
ฉันเกิดความเคารพรักพลุ่งขึ้นในใจ ฉันเพ่งมองแสงสว่างที่ไม่เคลื่อนไหวนั้น
ฉันรู้สึกว่าแสงสว่างนั้นเผยออก แสงสว่างเจิดจ้ากว่าอีกแสงหนึ่ง กำลังเคลื่อนเข้ามา
และในกลุ่มแสงสว่างนั้นเอง ฉันได้เห็นสตรีงามนั่งอยู่ อยู่บน "พระแท่น"
ที่เราทำไว้ เธอซบหน้าลงบนฝ่ามือ
สตรีงามนั้นลุกขึ้น ยกมือกอดอกแล้วมองดูพวกเรา พูดว่า
"เข้ามาใกล้ ๆ ซิหนู ไม่ต้องกลัว ฉันมานี่เพื่อบอกข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งแก่เธอ"
คำพูดอ่อนหวานไพเราะของเธอ ทำให้ฉันแล่นเข้าไปหา ดวงใจของฉันนั้นอยากจะเข้าชิดสนิทกับดวงใจของเธอตลอดไป
ฉันเข้าไปอยู่ต่อหน้าเธอ เยื้องไปทางขวา เธอเริ่มพูด และน้ำตาก็เริ่มไหลนองใบหน้างามของเธอ
"ถ้าประชาชนของฉันไม่ยอมเชื่อฟัง ฉันก็จำเป็นต้องปล่อยพระหัตถ์ของพระบุตรของฉันลง
เพราะพระหัตถ์นั้นแสนหนักเต็มที จนฉันยึดไว้ไม่ไหวแล้ว
"นานมาแล้วที่ฉันทนทรมานเพราะพวกเธอทุกคน ถ้าฉันไม่อยากให้บุตรของฉันละทิ้งเธอ
ฉันก็ต้องภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่พวกเธอกลับไม่ใส่ใจ และเธอจะไม่สามารถชดใช้ความยากลำบากที่ฉันได้ทนเพื่อพวกเธอได้หมด
"ฉันให้เวลาพวกเธอ 6 วัน เพื่อใช้ทำงานและฉันขอวันที่
7 วันเดียว สำหรับฉัน และเขาก็หายอมตามนี้ไม่ นี่แหละเป็นเหตุให้พระบุตรของฉันต้องลงโทษเสียแล้ว
"พวกคนขับรถม้า ก็สบทสาบานในพระนามของพระเจ้ากันติดปาก
บาป 2 ข้อ นี่แหละที่ทำให้พระบุตรต้องลงโทษ
"ถ้าการเก็บเกี่ยวไม่เป็นผล ก็เนื่องมาจากตัวพวกเธอเองนั่นแหละ
ปีที่แล้วมันฝรั่งในไร่ก็ไม่ได้ผลมาก พวกเธอก็ไม่คำนึง กลับด่าว่าพระเจ้าเสียอีก
พืชผลจะเสีย วันพระคริสตสมภพหน้าทุกอย่างจะเรียบหมด"
ตอนที่สตรีผู้นั้นพูดถึง "มันฝรั่ง" ฉันคิดในใจว่าเธอคงหมายถึงแอบเปิล
สตรีงามนั้นเดาความคิดของฉันออก เธอกล่าวว่า "เด็กเอ๋ย เธอไม่เข้าใจฉันเลย
เอาละฉันจะพูดใหม่"
ตั้งแต่ต้นมาจนถึงเดี๋ยวนี้ พระนางมารีอา พูดภาษาฝร่งเศสกับเรา
พระนางจึงเริ่มต้นใหม่พูดเป็นภาษาท้องถิ่น ว่าดังนี้
"ถ้าการเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลนั้น เป็นเพราะความผิดของพวกเธอเอง
เมื่อปีที่แล้วฉันก็ได้ทำให้พวกเธอเห็นแล้วไงล่ะ มันฝรั่งในไร่ไม่มีผลเลย
แต่พวกเธอก็ไม่รู้ตัว กลับทำตรงข้าม คือเมื่อพืชผลเสียหาย กลับด่าแช่งพระเยซูพระบุตรของฉัน
พืชผลจะเสียหายต่อไปเรื่อย ๆ พอถึงวันพระคริสตสมภพนี้ ก็จะไม่มีอะไรเหลือเลย"
"ถ้าพวกเธอมีข้าวสาลี ก็อย่าได้หว่าน"
"ทุกสิ่งที่พวกเธอหว่านลงดิน แมลงหรือมดปลวกจะกินหมด
ส่วนที่พอเหลือเก็บได้ ก็กลายเป็นฝุ่นผงหมด แล้วจะเกิดข้าวยากหมากแพงครั้งใหญ่
ก่อนจะเกิดการกันดารอาหาร เด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ จะเป็นโรคไข้สั่นตายในมือของคนอุ้มเอง
ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะหิวโหยอดหยาก ลูกนัทจะฝ่อ องุ่นก็จะเน่าเสียหมด"