ในคืนวันที่
18 ต่อกับวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1830 พระแม่เจ้าได้ประจักษ์แก่ซิสเตอร์ (ภคินี)
คัธริน ลาบูเร แห่งคณะธิดาเมตตาธรรม ที่ถนนดือบัก กรุงปารีส
ขณะนั่นเวลาประมาณ 23.30 น. คัธรินกำลังนอน ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ 3 ครั้ง
ติดต่อกัน... เธอจึงแหวกผ้าม่านทางด้านที่ได้ยินเสียง ก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งงามยิ่งนัก
เป็นเด็กอายุ 4-5 ขวบ สวมเสื้อสีขาว มีแสงรังสีออกจากผมสีทองและทั้งตัว ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างสว่างไสวไปด้วย
เด็กนั้นพูดกับซิสเตอร์ว่า "เชิญครับ เชิญมาที่โบสถ์น้อย แม่พระกำลังรอซิสเตอร์อยู่ครับ"
คัทรินนอนอยู่ในห้องใหญ่รวมกับซิสเตอร์อื่น ๆ อีกหลายคน เธอกำลังคิดว่า "คนอื่นจะได้ยินเสียง
และรู้ว่าฉันทำอะไร..." แต่เด็กน้อยนั้นล่วงรู้ความคิดของเธอ จึงรีบตอบว่า
"ไม่ต้องกลัวครับ ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ทุกคนหลับหมดแล้ว ผมจะไปด้วย"
เมื่อได้ยินดังนั้น คัธรินจะปฏิเสธคำเชิญก็ไม่ได้ จึงรีบสวมเสื้อ แล้วเดินตามเด็ก
ซึ่งเดินข้างซ้ายมือเธอเสมอ ขณะนั้นไฟสว่างไสวทั่วไปหมด คัธรินแปลกใจมาก และยิ่งประหลาดใจยิ่งขึ้น
เมื่อประตูโบสถ์เปิดออกทันทีที่เด็กเอามือไปถูกเท่านั้น
ภายในโบสถ์น้อยประจำอารามมีไฟสว่างไสวเช่นเดียวกัน ทำให้เธอคิดถึงมิสซาเที่ยงคืนวันพระคริสตสมภพ..
คัธรินเดินไปจนถึงโต๊ะรับศีลมหาสนิทจึงคุกเข่าลง ภาวนา คัธรินรู้สึกเวลายาวนานมาก
ที่สุดประมาณเที่ยงคืน เด็กก็มาบอกว่า "นี่แม่พระครับ! นี่แหละแม่พระ!
..." ขณะเดียวกันคัธรินก็ได้ยินเสียงเบา ๆ อย่างชัดเจนข้างพระแท่นด้านที่อ่านบทจดหมาย...
เป็นเสียงคล้ายกับเสียงเสื้อแพรเสียดสีกันเบา ๆ ไม่ช้าสตรีคนหนึ่งสวยหยดย้อย
ก็มานั่งที่ตรงสักการสถาน
ซิสเตอร์คัธรินมิได้คิดอะไรอื่น นอกจากทำตามที่หัวใจบอก วิ่งไปกราบลงที่เท้า
แล้วเอามือวางลงบนเข่าของแม่พระ
คัธรินเล่าว่า "ขณะนั้น ฉันรู้สึกระทึกตื่นเต้น หวานซึ้งจับใจที่สุดในชีวิตอย่างที่มิอาจจะอธิบายได้
ฉันบอกไม่ถูกว่าอยู่กับแม่พระนานเท่าไร...เท่าที่ฉันรู้ก็คือ เมื่อพูดกับฉันเป็นเวลานานแล้วแม่พระก็จากไป
หายไปเหมือนกับเงาที่ลับไป"
เมื่อลุกขึ้นแล้ว ซิสเตอร์คัธรินก็กลับมาพบเด็กตรงที่เธอผละวิ่งไปหาแม่พระ เด็กพูดกับเธอว่า
"แม่พระไปแล้ว!" แล้วก็เปลี่ยนมาอยู่ข้างซ้ายมือของเธอ พากลับไปแบบเดียวกันที่ได้พามา
คัธรินเล่าต่อไปว่า "ฉันเชื่อว่า เด็กคนนี้เป็นอารักขเทวดาของฉัน เพราะฉันได้ภาวนาขอท่านช่วยให้ฉันมีบุญได้เห็นแม่พระ
เมื่อกลับมาถึงเตียงแล้ว ฉันได้ยินเสียงนาฬิกา ตี 2.. ฉันไม่ได้หลับอีกเลย!..."
ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 1830 เวลาเย็น 5 โมงครึ่ง ขณะที่กำลังรำพึงอยู่เงียบ
ๆ ซิสเตอร์คัธรินได้เห็นแม่พระประจักษ์มาอีกครั้งหนึ่ง (ครั้งที่ 2)
ครั้งนี้แม่พระประจักษ์มาในลักษณะเท้าเหยียบลูกกลม ๆ ลูกหนึ่ง และมือที่อยู่ระดับอกถือลูกกลม
ๆ แต่เล็กกว่าอีกลูกหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนแม่พระยื่นถวายแด่พระเยซูเจ้าด้วยกิริยาการวิงวอน
ทันใดนั้น นิ้วของแม่พระเต็มไปด้วยแหวนและเพชรพลอยที่งดงามยิ่ง แสงที่พวงพุ่งออกมา
สะท้อนกลับไปทุกทิศทุกทางรอบแม่พระ จนมองไม่เห็นเท้าและเสื้อยาวของพระนาง
ขณะที่ซิสเตอร์กำลังเพ่งดูอยู่ แม่พระลดสายตาลงมาดูเธอ แล้วมีเสียงหนึ่งบอกในใจของเธอว่า
"ลูกกลมที่เธอเห็นนี้ หมายถึงโลกทั้งโลก และแต่ละคนโดยเฉพาะ" แล้วแม่พระกล่าวเสริมว่า
"นี่เป็นสัญญลักษณ์ หมายถึง พระหรรษทานต่าง ๆ ซึ่งแม่จ่ายแจกแก่ผู้ที่ขอ"
บัดดลนั้นเอง ได้เกิดมีภาพเป็นวงกลมรีเหมือนไข่รอบตัวแม่พระ และบนภาพนั้นมีข้อความเขียนเป็นอักษรทองว่า
"ข้าแต่พระแม่มารีย์ ผู้ปฏิสนธินิรมล โปรดภาวนาเพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายที่มาขอพึ่งท่านด้วยเทอญ"
มิช้า มือของแม่พระ ซึ่งเต็มไปด้วยพระหรรษทาน ซึ่งแสงรังสีเป็นเครื่องหมายถึง
ก็ลดลงและผายออก ด้วยกิริยาการสวยงาม (ชมภาพที่แสดงอยู่ในเหรียญ) แล้วมีเสียงหนึ่งกล่าวว่า
"บอกให้เขาทำเหรียญอันหนึ่งตามแบบนี้ ผู้ที่จะมีเหรียญดังกล่าวติดตัว
โดยห้อยไว้ที่คอเป็นต้น จะได้รับพระหรรษทานใหญ่หลวง ผู้ที่มีความเชื่อจะได้รับพระหรรษทานมากมาย"
ทันใดนั้น ภาพดังกล่าวดูเหมือนพลิกกลับ.. คัธรินเห็นอักษร M ทางซีกหลังของภาพ
ข้างบนตัว M มีไม้กางเขนตั้งอยู่บนท่อนไม้ และข้างใต้มีหัวใจ 2 ดวง ดวงหนึ่งมีหนามล้อมรอบ
อีกดวงหนึ่งมีดาบแทงทะลุ (โปรดดูภาพเหรียญมหัศจรรย์)
สองปีหลังจากแม่พระประจักษ์ เหรียญดังกล่าวก็ได้รับการจัดทำขึ้น โดยอนุมัติจากพระคุณเจ้าเดอเกเลน
พระอัครสังฆราชแห่งกรุงปารีส
ตั้งแต่นั้นมาเหรียญนี้ก็แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมกับเกิดปาฏิหาริย์มิรู้หยุด
คือให้ความคุ้มครอง ทำให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และทำให้คนบาปกลับใจ...
พฤติการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก และในสังคมทุกชั้น
จึงทำให้เหรียญดังกล่าวได้ชื่อว่า "เหรียญอัศจรรย์"
ซิสเตอร์คัธรินลาบูเร ได้รับการประกาศบันทึกนามในสารบบนักบุญเมื่อ 27 กรกฎาคม
1947 กำหนดฉลองในวันที่ 28 พฤศจิกายน.. ส่วนการฉลองพระแม่เจ้าแห่งเหรียญอัศจรรย์
เป็นวันที่ 27 พฤศจิกายน