อยู่เป็นเพื่อนแม่
เมื่อแม่อายุ 75 ปี
ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว
ลูกผู้ชายคนหนึ่งตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิมในเมืองจีนเริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย และโทรศัพท์ ทุกครั้งแม่จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง เขารู้ดีว่าแม่คิดถึงเขามาก เมื่อแม่อายุ 75 ปี เขาตั้งใจกลับไปเยี่ยมแม่และจะอยู่สัก 1 เดือน ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ถึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่ สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เขาตั้งใจว่าขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย แม่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่ไม่รู้ว่าเดี่ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มาก บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตสาห์เตรียมให้ ทั้งหนา ทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่าเดี่ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์ และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริง ๆ สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่า ๆ ซึ่ง 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่าปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม
เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายมชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่าแม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้คนอื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวันเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย พอเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าผมเพี้ยน ผมก็บอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า "แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ ๆ บ้าง..." ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกัน พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จาเหม่อลอย โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้เวลาที่ผมต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษใบหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้น ๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มาก ๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ แต่มีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า "แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ" แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุ้นหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู เป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า "เมื่อฉันแก่ตัวลง" ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นทันที
เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เนื้อตัวเอง... ถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็ก ๆ ที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่างถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิม ๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ... ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็ก ๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเธอหลับ
ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย ยังจำตอนที่เธอยังเล็ก ๆ ได้ไหม ฉันทั้งกอดทั้งปลอบ เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำ
ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ ๆ โปรดอย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม "ทำไม ทำไม ๆ ๆ" ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม
ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน ตอนที่เธอยังเล็ก ๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉัน กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญ ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว
ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉันให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ตอนนั้น ฉันพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวติ โปรดให้ความรักและความอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจในตาอันฝ้าฟางของฉัน มีแต่ความรักอันหาที่สุดมิได้ให้เธอ
ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นแม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้ หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมากเหมือนกันว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจึงถึงรถแท็กซี่เลยทีเดียว หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมา ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรมากเลย แต่บทความ "เมื่อฉันแก่ตัวลง" บทนั้น ผมตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวตลอดไป
ผมขออุทิศบทความนี้ให้กับลูก ๆ ทั้งที่พเนจรและไม่ได้พเนจรทั้งหลาย ถ้ามีเวลาว่างก็แวะไปหาท่าน หรือไม่ก็โทรไปหาท่านบ้าง บอกท่านว่า คุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากไป กว่าแค่ได้รับรู้ว่า เราสุขสบายดี หากเราไม่สามารถไปเยี่ยมท่านได้ ตอนคุยโทรศัพท์กับท่าน โปรดยิ้มให้กว้าง ๆ และยิ้มบ่อย ๆ แม้ท่านจะมองไม่เห็น แต่ท่านรู้สึกได้......